ก่อนที่จะเริ่มทำการสัมภาษณ์คุณรุ่งรดิศ ฉันกลับย้อนนึกไปถึงทุกครั้งที่เจอเขา ใบหน้าที่มักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มักทำให้ผู้คนทั่วไปที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงความใจดีและความน่ารักแบบซื่อๆของเขา ทำให้นึกไปถึงพระสังกัจจายน์ หากเขาไม่ได้สวมชุดผู้ป่วยและไม่ได้สวมสายรัดข้อมือของรพ. แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเขาคือผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

   ทุกครั้งที่ไปยังบริเวณห้องตรวจผู้ป่วย มักจะเจอเขาบริเวณทางเดินเสมอ บางครั้งเขาก็จะยืนอยู่ที่เคาเตอร์ของนางพยาบาล ทักทายพยาบาลด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม คุณรุ่งรดิศเป็นคนมีอัธยาศัยดี เขามักจะไปทักทาย พูดคุย เล่นไพ่กับผู้ป่วยชาวไทยที่อยู่ชั้นเดียวกันเสมอ เขาบอกกับเราว่า “การที่ไปพบปะพูดคุยกับผู้ป่วยคนอื่นบ่อยๆนั้น เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง เป็นการเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้กันและกัน ให้กำลังใจแก่กัน”

   การไอ นำมาซึ่งข่าวร้ายของโรคมะเร็ง

   คุณรุ่งรดิศเป็นผู้ป่วยชาวไทยวัย50ปี เขาทำงานเป็นผู้อบรมพนักงานใหม่และตรวจสอบพนักงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขาทำงานนี้มาตลอด 30ปีแล้ว คุณรุ่งรดิศเล่าว่า เขาชอบงานนี้มาก แต่หลังจากป่วย เนื่องจากต้องมาที่ประเทศจีน เขาจึงต้องหยุดงานทั้งหมดไว้ก่อน แต่หัวหน้าเขากลับไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังสนับสนุนให้เขาไปอีกด้วย “ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงงานตรงนี้นะ การไปฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

    ในปลายเดือนมิถุนายมปี2014 อยู่ๆคุณรุ่งรดิศก็รู้สึกมีอาการอ่อนแรง ไม่มีเรี่ยวแรงทั้งตัว ทั้งยังมีอาการไอและไอเป็นเลือด ดังนั้นคุณหมอที่ไทยจึงได้ทำการตรวจ CT Scan บริเวณช่องท้องให้แก่เขา ผลการตรวจพบว่า บริเวณปอดด้านขวามีก้อนเนื้อขนาดประมาณ 3.8×4.8cm และผลตรวจชิ้นเนื้อล่าสุดในต้นเดือนกรกฎาคมปรากฎว่า ก้อนเนื้อที่บริเวณปอดด้านขวา เป็นมะเร็งระยะสี่ คุณหมอที่ไทยแนะนำให้คุณรุ่งรดิศรีบทำการบำบัดด้วยการเคมีบำบัดตามแผนการบำบัดโดยด่วน แต่เมื่อนึกถึงผลข้างเคียงจากการให้คีโมทั่วร่างกายแล้ว คุณรุ่งรดิศจึงเลือกที่จะปฏิเสธการบำบัดโดยวิธีนี้

    “เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ทราบผลตรวจในตอนนั้น ผมตกใจมาก แต่ไม่นานนักผมก็เริ่มทำใจได้ แต่โรคนี้ช่างทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดที่จะยอมแพ้ในการบำบัด ผมยังมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถชนะโรคร้ายนี้ได้ ในเมื่อเราอยากที่จะชนะมัน ก่อนอื่นเราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองก่อนเราถึงจะสามารถรับกำลังใจจากผู้อื่นได้” เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวร้าย คุณรุ่งรดิศถึงกับแสดงอาการหวาดผวาและดูหม่นหมอง

   ต่อมา ญาติของคุณรุ่งรดิศพยายามช่วยกันหาหนทางในการบำบัดที่ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ แม้ทุกวันนี้เขาจะอยู่ตัวคนเดียว แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกอ้างว้างเลยแม้แต่น้อย หลังจากทราบข่าวอาการป่วยแล้ว บรรดาญาติพี่น้องของคุณรุ่งรดิศต่างให้กำลังใจเขาให้เขารีบไปบำบัด และในที่สุดพี่ชายของคุณรุ่งรดิศได้เข้าไปพบการบำบัดมะเร็งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของรพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวจากทางเว็บไซต์ ที่มีทั้งการบำบัดด้วยการคีโมเฉพาะจุด การบำบัดด้วยความเย็น ภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นต้น ในตอนนั้นวิธีนี้เป็นดั่งแสงสว่างครั้งใหม่ในชีวิตของเขาและครอบครัว  คุณหมอประจำสำนักงานของรพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวที่กรุงเทพได้กล่าวกับคุณรุ่งรดิศว่า อาการป่วยของเขายังมีโอกาสในการบำบัด 80 % ในที่สุดคุณรุ่งรดิศจึงตัดสินใจไปบำบัดด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กับรพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว

  

   “เทคโนโลยีสมัยใหม่” นำมาซึ่งความหวังใหม่ในชีวิต

   ในวันที่ 31 เดือนกรกฎาคม ปี 2014 คุณรุ่งรดิศตัดสินใจอย่างกล้าหาญในการเดินหน้าต่อสู้มะเร็งเพียงลำพัง หลังจากเข้ารพ.แล้วได้ทำการตรวจ CT Scan ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่า มีมะเร็งที่ปอดด้านขวา และยังมีการแพร่กระจายไปบริเวณสมองและต่อมน้ำเหลืองอีกด้วย การบำบัดจึงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว ผลการตรวจร่างกายรวมถึงคำแนะนำจากทีมแพทย์ MDTลงความเห็นว่าจะทำการบำบัดคุณรุ่งรดิศโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการบำบัดมะเร็งบริเวณปอด ใช้การบำบัดด้วยการฉายแสงบริเวณสมองและยาต้าน

   หลังจากการบำบัดผ่านไปช่วงหนึ่ง คุณรุ่งรดิศรู้สึกว่าสุขภาพตอนเองค่อยๆดีขึ้น เพราะก่อนหน้าที่จะทำการบำบัดเขามีอาการไอไม่หยุดแต่หลังจากทำการบำบัดแล้วอาการไอก็หายเป็นปลิดทิ้ง รวมถึงอาการปวดหัวก็ลดน้อยลงด้วย รู้สึกสบายตัวขึ้น นอนหลับเป็นปกติและมีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น “ก่อนมาบำบัดที่นี่ ผมเคยอ่านข้อมูลการบำบัดคร่าวๆจากเว็บไซต์แล้ว แต่นั่นเป็นเพียงข้อมูลบางส่วนเท่านั้น ก่อนทำการผ่าตัดคุณหมอและล่ามได้เข้ามาอธิบายถึงขั้นตอนในการบำบัดให้ผมฟังอย่างละเอียด ทำให้ผมเข้าใจขั้นตอนในการบำบัดมากขึ้น ดังนั้นก่อนผ่าตัดผมจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย” คุณรุ่งรดิศยังกล่าวอีกว่า “หลังจากทำการบำบัดแล้ว มันทำให้ผมเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าเทคโนโลยีการบำบัดสมัยใหม่เหล่านี้ช่างเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก เพราะการบำบัดด้วยวิธีนี้ได้ผลตอบรับดีมาก ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มาบำบัดที่รพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว”

   สิ่งที่ทำให้ทุคนดีใจก็คือ เมื่อคุณหมอไล่ได้บอกกับพวกเราว่า “ผลการตรวจร่างกายล่าสุดของคุณรุ่งรดิศพบว่า จุดที่เป็นมะเร็งบริเวณปอดด้านขวาและในสมองมีขนาดเล็กลงไปมาก บริเวณที่มีเนื้องอกได้หายไป ตอนนี้ยังสามารถคุมอาการไว้ได้ดี ” ทุกครั้งที่เจอเขา ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยพลังแห่งรอยยิ้ม รอยยิ้มของเขาแสดงออกได้ถึงความดีใจที่มาจากภายใน เขาเฝ้ารอให้อาการของตนเองดีวันดีคืน ดังนั้นหากเป็นครั้งแรกที่คุณได้เจอคุณรุ่งรดิศ หากเขาไม่ได้สวมชุดของรพ. คุณจะแทบดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

   ก่อนเริ่มทำการสัมภาษณ์คุณรุ่งรดิศ  ทุกครั้งที่ดิฉันเข้าไปกับคุณหมอเพื่อเยี่ยมอาการผู้ป่วย มักจะเห็นคนรุ่งรดิษอยู่ในห้องผู้ป่วยคนเดียวเสมอ จึงได้แอบๆสอบถามเขาดู คุณรุ่งรดิศเล่าให้ดิฉันฟังว่าเขาเดินทางมาบำบัดคนเดียว คนที่บ้านไม่ได้มาด้วย ในที่นี้เราทุกคนต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า มะเร็งเป็นโรคที่ทรมาน เหตุใดเขาจึงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง และใช้กำลังทั้งหมดที่มีต่อสู้กับมันได้อย่างไรกันนะ

   คุณภาพการบริการตามมาตรฐาน JCI เพิ่มความมั่นใจและความอุ่นใจแก่ผู้ป่วย
   เมื่อถามถึงคำถามนี้ คุณรุ่งรดิศถึงกับยิ้มออกมา เขาพูดว่า” แม้ว่าผมจะมาบำบัดคนเดียวแต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ้างว่างเลยนะ เพราะที่นี่มีทั้งหมอ พยาบาล รวมถึงล่ามที่คอยดูแลคอยเป็นห่วง ไม่เพียงแต่ในเรื่องการบำบัดเท่านั้น ทั้งเรื่องปัญหาต่างๆในชีวิต พวกเขาก็ช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่ โดยปกติแล้วผมจะชอบไปเยี่ยมผู้ป่วยคนอื่นๆตามห้องต่างๆ ร่วมกิจกรรมกับทางรพ.บ้าง ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว อยู่ที่นี่มีความสุขจะตายไป”

   นับตั้งแต่มีการก่อตั้งรพ.เป็นต้นมา เราต่างยึดมั่นในอุดมการณ์ “ความรักไม่แบ่งเชื้อชาติ” ถือเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วย สำหรับในเรื่องการบริการเรามักจะได้รับคำชมจากผู้ป่วยเสมอ ในเดือนตุลาคม ปี 2014 รพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานที่มีความเป็นสากล และยังเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพในด้านการบริการและการจัดการระดับสากล หลังจากได้รับมาตรฐานนี้แล้วทำให้รพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวกลายเป็นหนึ่งในสถาบันการแพทย์ชั้นนำระหว่างประเทศและยังทำให้คุณภาพในการบำบัดมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

   ชีวิตคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่น่ากลัว

   หลังจากที่คุณรุ่งรดิศเข้ารับการบำบัดแล้ว เขารู้สึกว่านิสัยของเขาเปลี่ยนจากเดิมไปเยอะมาก “เมื่อก่อนเป็นคนคิดมาก ปล่อยวางไม่ค่อยเป็น แต่ช่วงนี้สามารถปล่อยวางบางเรื่องได้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าช่วงนี้สบายขึ้นเยอะ” เขายังกล่าวอีกว่า “แม้ว่ามะเร็งจะเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว แต่หากเราทุกคนมีใจที่เป็นสุข ก็สามารถข้ามผ่านไปได้ทุกปัญหา”  จากการที่เขาได้รับการสนับสนุนจากคนทางบ้าน จากเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งความเอาใจใส่จากรพ.และคนอื่นๆทำให้หนทางในการบำบัดมะเร็งของเขานับวันยิ่งยาวไกล ทุกก้าวที่ก้าวไปล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเชื่อมั่น

ในอนาคตเขาหวังว่าเขาอยากที่จะนำประสบการณ์ในการบำบัดมะเร็งของตนได้แบ่งปันให้แก่คนทั่วไปได้รับรู้ เพื่อให้กำลังใจพวกเขา ให้พวกเขามีกำลังใจในการต่อสู้กับมะเร็งร้ายและแข็งแรงกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว “หากคุณเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก่อนอื่นคุณจะต้องมีความเชื่อมั่นใจตัวเอง เช่นนี้คุณถึงจะสามารถรับกำลังใจของผู้อื่นที่ส่งมาให้ได้” คุณรุ่งรดิศได้มอบคำแนะนำดีๆให้แก่ผู้ป่วยด้วยความจริงใจ
















**หมายเหตุ : ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล