มะเร็งตับอ่อนเป็นหนึ่งในเนื้องอกร้ายที่เกิดการลุกลามไปได้ง่าย การตรวจวินิจฉัยในระยะแรก เข้าปรึกษาแพทย์โดยเร็วในระยะแรก จะมีส่วนช่วยในการยกระดับผลลัพธ์ทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

　　หากคุณมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อน แพทย์จะเลือกวิธีการตรวจหนึ่งหรือหลายวิธีดังต่อไปนี้โดยดูจากสภาพอาการของคุณ เพื่อช่วยให้ตรวจพบมะเร็งตับอ่อน หากมะเร็งตับอ่อนมีการลุกลามไปแล้วนั้น วิธีการตรวจเหล่านี้จะสามารถช่วยให้เลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนได้อีกด้วย

　　วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน

　　1. การตรวจอัลตราซาวด์ : เป็นการตรวจคัดกรองทั่วไปของมะเร็งตับอ่อน มีประโยชน์อย่างมากต่อการตรวจเนื้องอกตับอ่อนในขั้นแรก ขณะเดียวกันยังสามารถตรวจพบเนื้องอกที่ตับ ภายในตับและท่อน้ำดีนอกตับอีกด้วย เมื่อมีอาการปวดท้อง ดีซ่าน น้ำหนักลดลง ท้องเสีย เป็นต้น ควรรีบไปตรวจอัลตราซาวด์โดยเร็ว เพื่อจะได้พบโรคในระยะแรก

　　2. การตรวจ CT : การตรวจ CT เป็นตัวเลือกแรกของการตรวจมะเร็งตับอ่อน ซึ่งมีข้อดีคือ ไร้บาดแผล ความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยสูง หลังจากตรวจอัลตราซาวด์หรือสงสัยว่าตับอ่อนผิดปกติ ต้องทำการตรวจโดย CT และหากตรวจ CT แล้วพบว่ามีเนื้องอกที่ตับอ่อน ท่อตับอ่อนขยายหรือมีการแพร่กระจายของมะเร็งตับอ่อน ควรรีบทำการปรึกษาแพทย์โดยเร็ว จะมีส่วนช่วยในการยกระดับผลลัพธ์ทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

　　3. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) : การตรวจ MRI สามารถใช้ตรวจก้อนเนื้อที่ตับอ่อน การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและวินิจฉัยก้อนเนื้องอกที่มีชีวิตได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้คุณเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุดได้

　　4. การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) : มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนในระยะแรก สามารถสำรวจการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ duodenal papilla ได้โดยตรง

　　5. การส่องกล้องติดอัลตราซาวด์ (EUS) : มีประโยชน์ต่อการยกระดับการวิเคราะห์ภาพถ่าย แสดงให้เห็นจุดเกิดโรคขนาดเล็ก สามารถยกระดับการตรวจมะเร็งตับอ่อนระยะแรกให้ชัดเจนขึ้น

　　6. การเจาะดูดเซลล์ (FNA) : เป็นการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงสูง มักใช้ร่วมกับการตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง (CA19-9) การตรวจยีน K-RAS เพื่อยกระดับความไวต่อการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน