ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจนที่เกิดขึ้นในระยะแรก เนื่องจากผู้ป่วยขาดความรู้ด้านการวินิฉัยประเภทของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ทำให้ขาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทราบถึงอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแต่ละประเภทว่าอย่างไรบ้าง

　　อาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง

　　1.โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังมีลักษณะการเกิดอาการเชื่องช้า และมักไม่ได้รับความสนใจในระยะแรก ผู้ป่วยอาจไม่มีความรู้สึกผิดปกติทางร่างกายเป็นเวลานาน โดยทั่วไปจะมีผลตรวจพบความผิดปกติทางเลือดหรือการเกิดความบวมทางม้ามมาก่อน แล้วค่อยวินิจฉัยออกเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง

　　2.โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เป็นไข้อุณหภูมิต่ำ น้ำเหงื่อไหลบ่อยหรือเหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักตัวเบาลง และระบบเผาผลาญพลังงานทำงานมากผิดปกติ นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ป่วยมีความบวมทางม้าม ทำให้รู้สึกมีความเฟ้อหรือความเปลี่ยนตำแหน่งลงของท้องซ้ายส่วนบน และยังมีความรู้สึกท้องขึ้นเสมอหลังรับประทานอาหาร

　　3.เมื่อตรวจอาการของผู้ป่วย อาจพบหน้าและริมฝีปากซีดเซียว และอาการที่เด่นที่สุดคือ อาการบวมม้าม ผู้ป่วยมักจะมีความบวมม้ามถึงระดับสะดือ และมีอาการกดเจ็บตรงกระดูกสันอกอยู่เสมอ เมื่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังพัฒนาเข้าสู่ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยอาจมีหยดเลือดเกิดขึ้นบนผิวหนังและเยื่อเหนียว พร้อมมีก้อนเนื้อที่ไม่เจ็บเกิดบนหัวหรือขอบตา เป็นต้น

　　อาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

　　1.โลหิตจาง: เนื่องจากไขกระดูกของผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันมีความผิดปกติทางการผลิดเลือด ทำให้จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงและฮีโมโกลบิน (HGB) น้อยลง ฉะนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการโลหิตจาง และเกือบ 50% เป็นโลหิตจางระดับร้ายแรง

　　2.ความเป็นไข้: โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันมีเหตุผลโดยตรงที่เกิดเป็นไข้ขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันมีพลังภูมิคุ้มกันโรคต่ำ เมื่อจุลินทรีย์ก่อโรค (Pathogen) รุกเข้าไปในร่างกายของคนแล้ว จะทำให้ผู้ป่วยเป็นไข้อุณหภูมิสูงและติดเชื้ออย่างง่าย

　　3.เลือดออก: เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวคั่งหรือรุกเข้าไปในหลอดเลือดเป็นจำนวนมาก เกล็ดเลือดน้อยลง ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ และติดเชื้อเป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยมีหยดเลือด ผื่นและจุดเลือดออกในชั้นผิวหนังกระจายไปทั้งตัวร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีอาการเลือดออกทางจมูก ปุ่มเหงือก ก้นตา หัว และมีจำนวนเลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติ ยิ่งกว่านั้น อาจก่อให้เกิดอาการสลบ และเสียชีวิตได้

　　4.กระเพาะลำไส้วาย: เนื่องจากเทคโนโลยีการดูแลผู้ป่วยด้วยคีโมและรังสีจะมีผลกระทบลบต่อกระเพาะลำไส้ ทำให้ระบบการทำงานกระเพาะลำไส้ของผู้ป่วยมีความวาย

　　5. ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia): เมื่อผู้ป่วยได้รับการดูแลด้วยเทคโนโลยีแบบเคมีและรังสี ต้องมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน การใช้คอร์ติคัลฮอร์โมน (cortical hormone) ต่างๆ ก็มีผลกระทบต่อจำนวนกรดยูริกในเลือดอีกด้วย กรดยูริกที่มีความเข้มข้นอิ่มตัวและตะกอนอย่างรวดเร็ว แล้วมีนิ่วกรดยูริกเกิดขึ้น ทำให้อวัยวะไตของผู้ป่วยได้รับความเสียหายอย่างมาก และมีอาการปัสสาวะน้อยหรือไม่ปวดปัสสาวะ

　　อาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก

　　โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะแรกในเด็ก มีอาการผิวหน้าซีดเซียว อ่อนเพลียไม่มีแรง ไม่หิวอาหาร และอาการเลือดออกทางจมูกหรือปุ่มเหงือกเป็นต้น เด็กบางส่วนก็มีอาการระยะแรกเป็นไข้ และเจ็บข้อต่อกระดูกแบบโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid)

　　1.โลหิตจาง: อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในระยะแรกๆ และมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยยังมีอาการผิวหน้าซีดเซียว อ่อนเพลียไม่มีแรง หายใจลำบากหลังออกกำลังกาย และอาการหัวใจเต้นเร็วเป็นต้น

　　2.ความเป็นไข้: โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นเหตุผลที่ก่อให้เป็นไข้อยู่เสมอ มักจะมีลักษณะการเป็นไข้แบบผิดปกติ มีอุณหภูมิไม่มั่นคง และไม่มีความรู้สึกหนาวเย็น ความเป็นไข้แบบโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนใหญ่มีอุณหภูมิต่ำ และไม่มีการดูแลผู้ป่วยด้วยยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) นอกจากนี้ ถ้าผู้ป่วยได้ติดเชื้อทางระบบหายใจหรือระบบทางเดินปัสสาวะ ยังก่อให้เกิดอาการเป็นไข้อุณหภูมิสูงได้

　　3 เลือดออก: เหตุผลที่เกิดอาการเลือดออกมีมากมาย ได้แก่ ๑) เซลล์เม็ดเลือดขาวรุกเข้าไปในหลอดเลือด และเซลล์ใหญ่ไขกระดูก (megakaryocyte) ได้รับการยับยั้ง ทำให้การผลิดเกล็ดเลือดน้อยลง ๒) ระบบการทำงานของตับได้รับความเสียหาย ทำให้จำนวนการผลิดโปรตีน FI (fibrinogen) เอนไซม์ (enzyme) แข็งตัวของเลือด และแฟกเตอร์ วี (factor v) ไม่เพียงพอ ๓) ความซึมผ่านของหลอดเลือดฝอยเพิ่มขึ้น เป็นต้น โดยทั่วไปเลือดมักจะออกทางผิวหนังและเยื่อเหนียว มีอาการเป็นผื่น อาการเลือดออกทางจมูก ปุ่มเหงือก กระเพาะอาหาร และอาการปัสสาวะมีเลือด บางครั้งก็มีอาการเลือดออกด้านในหัว ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ก่อการเสียชีวิต